วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การปรับแต่ง 4A-FE ( N/A 1600 )

สรุป ผลการให้คำแนะนำในการปรับแต่ง 4A-FE ( N/A 1600 ) ขอได้รับความขอบคุณจาก CarBoyและคุณอั๊ม แห่ง AEracingCLUB


<<THE CARBOY ADVISORY>> 
คุณCARBOYเน้นการปรับปรุงพื้นฐานขั้นต้น ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่ทำได้ 

1. หัวเทียนใหม่ 
// อืม หัวเทียนถ้าเป็น NGK (ซึ่งจะหาง่ายในบ้านเรา) ใช้เบอร์ 6 ครับ ส่วนตัวย่อยๆ นี่เดี๋ยวผมหา link ของ 
web มาให้อ่านว่ามีรายละเอียดเป็นอย่างไรครับ หัวเทียนควรหมั่นดูเพราะจะได้รู้ว่าการเผาไหม้เป็นอย่างไรด้วยครับ 
มีผลต่อการ tuning ในครั้งต่อๆ ไปครับผม // 
*** คุณCARBOY ได้สัญญาว่าจะหาข้อมูลมาให้ กรุณาอดทนรอสักพักนะครับ 

2. สายหัวเทียนใหม่ มันมีอายุของเส้น fiber ด้านใน ไม่จำเป็นต้องใช้ของแต่งครับ 
ถ้าได้มาไม่แพงก็ซื้อหากันมา ถ้าเราว่าแพงก็ไม่จำเป็นต้องไปเอามาใช้ครับเพราะคุณ 
ก็ไม่ได้กะจะ modify แค่อยู่ในสภาพดี มีอายุการใช้งาน(ถ้าซื้อของเก่า) ไม่มากก็เป็นใช้ได้ครับ 

3. ลิ้นปีกฝีเสื้อ ควรล้างบ้างครับ เพราะจะทำให้มันปิดและเปิดดีขึ้น ส่งผลต่อรอบเดินเบาครับ ล้างไม่ยากแต่ว่า ตอนล้างพิถีพิถันหน่อย ถอดไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจทำส่วนประกอบบางอย่างเสียหายได้ครับ 
// ถ้าพอมีเวลาว่าง ผมว่าทำเองได้ครับ ทำสักวันเสาร์-อาทิตย์ เดี๋ยวก็เสร็จ แต่ว่าครั้งแรก ผมว่าให้อู่ถอดให้ดูก่อนจะดีกว่าครับ// 

4. ความต้องการที่จะแช่คันเร่งที่ รอบสูงๆ ความเร็วสูง สิ่งที่คุณควรมีคือ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือเกรด 
ดีๆ หน่อย ตอนนี้ มีน้ำมัน base oil ที่มีคุณภาพสูงมาจำหน่ายกันในราคาไม่แพงแล้ว ผมก็ใช้มาบ้าง เช่น 
Caltex Havoline Energy, JET Hydroclear เป็นต้น พวกนี้ลดแรงเสียดทานได้ดี และความหนืดต่ำ 
ซึ่งมีผลต่ออัตราเร่งเป็นอย่างมาก ไม่แพงหรอกครับ ไม่ถึงพัน แต่ว่าอย่าตะบี้ตะบันใช้เป็นหมื่นกิโลเมตรนะ 
(ผมเคยใช้ มันก็ใช้ได้อยู่หรอก แต่ว่าอย่าดีกว่า) 
//แต่ถ้าหวังผล ผมว่าหาที่เป็น 5w30 มาใช้จะดีกว่า (แต่ก็แพงกว่า) // 

5. น้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนเป็นประจำถ้าทำได้ ครับ เพราะว่ามีผลต่อการส่งกำลังและการสึกหรอเป็นอย่างมาก อย่าง น้อย จริงๆ แล้ว ครึ่งปีน่าจะทำสักครั้ง แม้ว่าจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะทำกันก็เหอะ ถ้าอ่านคู่มือจริงๆ มัน ก็ให้คุณเปลี่ยนตอนสัก 2-3 หมื่นกิโลเมตรนี่แหล่ะครับ ตรงนี้พวกใช้รถแต่งๆ น่ะอ่านไว้ด้วยนะครับ จำเป็นจริงๆ น้ำมันถ้าสามารถซื้อให้ดีได้ที่สุดแค่ไหน โดยไม่เดือดร้อน ให้ใช้ครับ 

6. ล้างหัวฉีดบ้าง ครับ จะได้จ่ายน้ำมันได้ดี วิธีการล้าง นั้นน่าจะหาชนิดที่ถอดมาล้าง ด้วยน้ำยาจะดีมากครับ 
ถ้าไม่ได้ แบบผสมน้ำมันเชื้อเพลิงก็พอทนแต่ว่ามันไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร สู้ล้างอย่างจริงจังไม่ได้หรอก 
แบบที่ผมว่านี่ เขาเล่นต่อแทนน้ำมันเชื้อเพลิงเลยแหล่ะ ของ 3M ก็มีครับ ลองหาดู 

7. ตรงนี้คือการ tuning (จูนให้มันนิ่ง) คือใช้น้ำมัน octain เท่าไหร่ ก็ tune ไฟให้เท่านั้นครับ 91 ก็ใช้ดี ผม ก็เติมรถแม่ผมอย่างนั้นเหมือนกัน (เพราะผมก็ต้องใช้มันตอนรถผมซ่อม) จริงๆ แล้วใส่ 95 มันก็ดีขึ้นนะ แต่ ว่านิดหน่อย ไม่ tune มามันก็ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ อาจได้ระยะทางต่อหน่วยน้ำมันเยอะกว่า แต่ก็นั่น แหล่ะจ่ายเยอะกว่าด้วย หารมาแล้วก็ได้ บาท/กิโลเมตร เท่าๆ กัน 

8. ท่อไอเสีย ก็มีผลบ้าง แต่ว่าไม่มาก หากไม่รั่วก็ไม่จำเป็นครับ ยิ่งท่อไอเสียของ AE101 นั้นไม่น่าเป็นสนิมง่ายด้วย 

9. คุณควรนำรถไปตรวจสอบ Oxigen Sensor ด้วยว่ายังทำงานดีอยู่หรือเปล่า เพราะมันเป็น feed back ให้ ECU จ่ายน้ำมันได้ถูกต้องครับ ผมเห็นโดยมากคนไม่สนใจกัน ค่า CO2 งี้อย่างเยอะเลย กินน้ำมันด้วย 

<< THE AUM ADVISORY >> 
คุณอั๊ม แนะนำไว้ใน hunting test ค่อนข้างละเอียดเรื่องราคายกเว้นสถานที่จัดทำ 
เน้นการโมในสเต็ปต้นๆ เป็นการเค้นความแรงจากจากสมบูรณ์ ซึ่งถ้าทำใน CARBOY'S SMART ENGINE 
มาแล้ว ลองพิจารณาสเต็ปนี้ดู คิดว่า งบประมาณไม่น่ารุนแรงนัก ถ้าช่างไม่เน็บขวานไว้ข้างเอว 

หัวข้อ"การสร้างความพร้อม" 
อยากจะโมมากน้อยขนาดไหนล่ะครับถ้าโมนิดๆหน่อยก็มี 
1.สายหัวเทียนแบบความต้านทานต่ำยี่ห้ออะไรก็ได้ 
ราคาประมาณ1500-2000 บาท 

2.หัวเทียน platinum เบอร์6กำลังดียี่ห้ออะไรก็ได้ 
ราคาประมาณ 800-1500 บาท 

3.กรองเปลือยดีๆซักลูกยี่ห้ออะไรก็ได้ครับ 
ลูกประมาณ500-1000 

4.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเกรดสูงๆหน่อยเพราะรถคุณใช้งานมานานแล้ว ควรใช้เกรดประมาณ 0w-40หรือ 5w-50 ยี่ห้ออะไรก็ได้ครับ 

5.หาหม้อพักใบท้ายเป็นสแตนเลสดีๆของไทยหรือของนอกได้ครับแต่ความกว้างใส้ในควรไม่เิกิน2.2นิ้วไม่งั้นโล่งไป รถคุณก็ใช้มานานอีกที่ผมแนะนำก็คือให้ไปเข้าอู่ที่เขารับล้างหัวฉีดจะช่วยได้ครับเพราะรถใช้งานมาขนาดนี้มีคราบเขม่าเยอะแน่ ส่วนสเต็ปต่อไปอันผมรับรองว่าแรงขึ้นอีกเยอะแต่คุณต้องทำขั้นต้นมาก่อนนะครับถึงจะเห็นผลแบบเต็มๆแต่ใช้งบเยอะหน่อยนะ 

หัวข้อ"การขยายกล้ามเนื้อ" 
1.ขัดพอร์ตลื่นไอดีไอเสีย 
ประมาณ2000-3000 

2.ปาดฝาสูบออกประมาณ0.5-0.8มม.รับร้องไม่มีร้อนครับแล้วเสริมประเก็นเหล็กด้วยล่ะ 
ประมาณ 1500 

3.เจียรแต่งบ่าวาล์วและตั้งชิมวาล์วใหม่เพราะรถคุณใช้งานมานานแล้ว 

4.หาหัวเฮดเดอร์แบบ4-2-1ของไทยก็ได้ครับ 
ประมาณ 1500 เอง 

5.เดินท่อไอเสียใหม่จากหัวเฮดมา ควรไม่เกิน2.2นิ้วนะครับกว้างมากเดี๋ยวโล่งเกิน 
ประมาณ 1000 

ถ้าคุณทำอย่างที่ผมกล่าวมาก็อาจทำให้รถคุณวิ่งดีกว่าเดิมแน่นอนครับ 
แต่ถ้าเป็นโมสเต็ปหลังคุณควรหาอยู่ที่เขาโมดิฟายดีๆน่าไว้ใจแล้วรับประกันงานนะครับจะช่วยให้คุณมั้นใจขึ้นเยอะ 

ปล. จาก เจ้าของกระทู้ 
การทำ 4A-FE ให้สมบูรณ์ ไม่ต่างจากการที่คุณลงเครื่องใหม่ แล้วต้องทำให้เครื่องใหม่คุณสมบูรณ์เช่นกัน 
มิฉะนั้น เครื่องใหม่คุณก้อจะเน่าไม่ต่างจากเดิม ในกรณีนี้ ถ้าคุณมีโครงการใช้มันจนกว่าสามารถซื้อรถใหม่แล้วจะขาย โดยไม่เสียราคาสแตนดาร์ด และเครื่องไม่เน่าเสียจนเกินงาม เน้นการใช้การไม่ซิ่งและประหยัด ขับแซงทางไกลไม่อึดอัดจนกล้ามท้องเคล็ด 
ในงบประมาณหมื่นต้นๆนี่ นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจและให้คุณประโยชน์โดยไม่น่ามองข้าม 
ซื้อรถใหม่.. เสียดายรถเก่า... ยังให้พี่ๆน้องๆไปใช้ต่อได้โดยไม่ละอายใจครับ 

เออ.. ที่ว่ามา ผมยังไม่ได้ลงมือซักกะอย่าง คือยังไม่รู้จะทำที่ไหนอ่ะครับ ช่วยแนะนำด้วย ขอบคุณครับ 

การทำเครื่อง 4A FE ใน COROLLA / และงบประมาณ พร้อมตอบคำถาม เพื่อศึกษา

สรุปข้อความจาก aeracingclub //คุณเบส  ทั้งรายละเอียด คำถาม คำตอบ ทุกข้อ บันทึกไว้ เพื่อศึกษา

การทำเครื่อง 4AFE 

ในส่วนของท่อนล่าง 

การเพิ่มกำลังอัดโดยการเปลี่ยนลูกสูบเพื่อให้ลดพื้นที่ของห้องเผาไหม้ให้เล็กลง โดยในลูกสูบของเครื่อง 4AGE 20V ฝาขาวมาขนาด 81.5 mm.(1610 cc.) ซึ่งมีหัวลูกสูบที่มีความนูนกว่าของ 4AFEและยังมีราคาที่ไม่แพงด้วย  ไม่แนะนำให้ทำการเพิ่มกำลังอัดโดยการปาดฝาสูบเพราะอาจเกิดปัญหาทางด้านความร้อนได้ และยังต้องดูค่ากำลังอัดให้เหมาะสมกันกับเชื้อเพลิงที่เติมด้วย (สำหรับเบนซิน 95 ไม่ควรเกิน 260 psi ) สำหรับ SPEC ของRING GAP ก็ใช้เท่ากับ4AGE 20V ฝาขาวเลย  
การดัดแปรงในส่วนของท่อนล่าง
 
1.ต้องทำการหลบวาวเพื่อให้รับกับฝาของ 4AFE ได้อย่างไม่มีการติดแม้จะเกิดสายพาย T ขาด
2.แก้ไขก้านสูบของ 4AFE ให้ใส่กับสลักลูกสูบของเครื่อง 4AGE 20V ฝาขาวได้โดยการขยายแล้วอัดบูชน้ำมันเขาไปให้สามารถหมุนได้อย่างอิสระต่อกัน(ของเดิมของ 4AFE อัดตายไม่สามารถขยับได้จะใช้หมุนที่ลูกอย่างเดียวเท่านั้นทำให้ลื่นน้อยกว่าการทำแบบนี้มาก) จากนั้นก็ทำการลดน้ำหนักสลักลูกสูบให้น้อยลงที่สุดเท่าที่ยังคงความแข็งแรงอยู่เพื่อให้ในรอบเครื่องสูงๆไม่เกิดความเคียดที่ก้านมากจนเกินไป(ควรเปลี่ยน NUT ก้านสูบด้วย)
3.ข้อเหวี่ยงใช้ของเดิม เครื่อง 4AFE นำมาถ่วงบาล้านให้เกิดความสมดุลจะทำให้ในขนชณะหมุนรอบเครื่องสูงๆได้ดีกว่า จากนั้นก็เอาไปชักเงาข้อพร้อมปรับ Oil Clearance (ใช้ spec ของเครื่อง 4AGE ) ทั้งชาฟอกชาฟก้าน จากนั้นก็นำชินส่วน ก้านสูบและข้อเหวี่ยง นำไปชุบ NITRY (ชุบผิวแข็ง)เพื่อให้เกิดความลื่นและยังแข็งทดทานขึ้นไม่เป็นลอยได้ง้าย
4.เปลี่ยนปั้มน้ำมันเครื่องไปใช้ของ 4AGE ฝาลายซึ่งสามารถปั้มน้ำมันในปริมาณที่มากกว่าของเดิมและยังทำการเพิ่มแรงดันน้ำมันเครื่องโดยการเสริมชิมที่ del วาวให้แรงดันสูงขึ้นเพื่อให้ลดการสึกหล่อได้อีกทางนึงเพราะเครื่องที่เราทำนั้นต้องหมุนรอบสูงเกินขีดแดงดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำให้น้ำมันเครื่องไปเลี้ยงได้เต็มที่


ในส่วนของฝาสูป
มีการปรับแต่งเพื่อให้อากาศเดินทางได้มากขึ้นซึ่งจะรักษาแรงบินในรอบสูงได้นานขึ้น 
1.ขัดขยาย POT ทั้งด้านไอดี (ขัดพอเลียบไม่ถึงกับมันเงาเพราะต้องการให้อากาศหมุนวนกันเล็กน้อยเพื่อให้เกิดการคลุกส่วนผสมของ อากาศกันน้ำมันได้ดี) และ ไอเสีย (ขัดจนเป็นมันเงาเพื่อให้ผิวลื่นจนเขม่าจากการเผาไหม้ไม่จับที่ผิว POT ซึ่งอาจทำให้ช่อง POT เล็กลงทำให้กำลังตกในรอบสูงๆได้) เพื่อลบหรือตังส่วนที่มาขวางทางเดินอากาศ(POT ของเดิมห่วยมาก)  การทำตรงนี้ต้องใช้ความระมันระวังมิฉะนั้นอาจจะแรงน้อยกว่าของเดิมสะอีก 
2.ทำการแก้ไของศาวาวและบ่าวาว เพื่อ มีผลในจังหวะที่วาล์วพึ่งเริ่มยกตัว จะทำให้รูออกมีขนาดใหญ่ขึ้นเร็วกว่าบ่าวาล์วเดิมๆ จะทำให้อากาศเขาได้มากขึ้น การตอบสนองจะเร็วขึ้น 
3.ขัดขยายท่อไอดีและลิ้นปีกผีเสื้อ (จาก 50 mm. เป็น 55 mm. ) ตัวนี้ถ้าไม่มีการปรับแต่งในส่วนอื่นมาก็ไม่มีความจำเป็นเพราะถึงแม่ขยายลิ้นปีกผีเสื้อแต่ทางเดินส่วนอื่นยังไม่อำนวยก็ไม่เป็นผล
4.ใช้ประเก็นของ 7AFE ที่มีความบางกว่าเดิมและยังเป็นเหล็กอีกด้วย


การทำฝาสูปได้ถูกต้องจะทำให้เครื่องรักษาแรงบิดในรอบเครื่องสูงกว่าเดิมได้มากอยู่ทำให้สามารถลากต่อไปแบบแบบลื่นๆคับ แต่ก็ต้องแลกกับการสึกหรอมาขึ้นตาม


ในส่วนของระบบส่งกำลัง 
ใช้ Flywheel ของเครื่อง 4AGE 20V ฝาดำมาแปรงใส่โดยการ อุดรูเก่าแล้วเจาะรูใหม่ใส่เข้าไปแทน ซึ่งมันจะมีน้ำหนักเบากว่าของ  4AFE อยู่พอสมควรแต่ไม่เบาจนขับยากเหมือนของแต่ง เหมาะกับการใช้งานด้วยแข่งด้วยมากเลย
ใช้เป็นคลัชแบบ Cera Metalic แบบ 3 แฉกพร้อมหวีแรงกดสูง (RACING SPEC) ก็พอแล้ว
เกียร์เป็นเกียร์จากเครื่อง 2ZZ-GE ระหัด C ? 60 จะมีอัตราทดทุกอย่างเท่ากับ เกียร์ของ 4AGE 20V ฝาดำ (6 speed) เลยแต่จะแข็งแรงกว่ามาก การแปรงใสก็แค่นำชุดขาเข้าเกียร์กับหัวหมูของเกียร์ 4AGE 20V ฝาดำ (6 speed) มาใส่แทนแล้วก็ใช้หัวเพราะตัวในของ 3S-FE มาใช้แทนก็จบแล้ว
LSD ยังคงใช้ของเดิมที่มากับเกียร์  C ? 60 ซึ่งเป็น เต็ดแบบเฟืองซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว และยังบำรุงรักษาง้ายกว่าด้วย 


ในส่วนของการปรับจูน

มีการดัดแปรงกล่อง ECU เดิมของ 4AFE ให้สามารถตัดรอบเครื่องสูงขึ้น (จาก 6500 เป็น 7200 RPM) โดยการเปลี่ยนตัว คลิสตัลให้ค่าสูงขึ้นเพื่อนย้ายเวลาการตัด  แล้วใช้ E-manage Blue มาช่วยปรับจูนให้สมบรูณ์ที่สุด (ใช้กล่อง F CON SZ ก็ไม่ได้แรงไปกว่านี้)
 
หัวฉีดเดิมๆมันเล็กเลยต้องดันแรงดันเพิ่มหน่อยนึงนะ 

ในส่วนของชุดท่อไอเสีย 

ใช้ Header ของเดิม เป็น 4-2-1 อยู่แล้ว แล้วขยายท่อ MAIN เป็นขนาด 55 มม.  มีหม้อพัก 2 ลูกเป็นใส้ตรง 

ส่วนเรื่องงบประมาณหารทำก็ไม่ได้จดเอาไว้อะคับรู้แต่เงินเก็บเกือบแสนหายไปในพริบตา 
ส่วนอู่ที่ทำผมทำที่วัดด่านคับ โดยให้พี่ โยธิน(พี่หนึ่ง) เป็นคนจัดการในการทำโดยแนวคิดเป็นของผมเองคับ  
 

ส่วนผลรับที่ได้จากการทำก็
สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากว่า 200 KM/H ได้โดยไม่ยากเย็น และเวลา 0-402 M ก็อยู่ในระดับ 15.xx sec ได้โดยที่ไม่ได้ทำการลดน้ำหนักรถได้ๆทั้งสิ้นคับ 

ส่วนเรื่องคู้ชกที่สามารถเล่นได้แบบสบายๆก็มี 


รถเดิมๆที่เค้าว่าแรงๆกันก็  
BMW 1.8 (สบายมากส่วนแบบยาวๆ) 2.3-2.5 (เล่นได้จนถึง 210 km/h หลังจากนั้นเกาะได้คับ)
HONDA ACCORD 2.4 (สบายมาก..รับประทาน..ยาวๆ) 3.0 (เล่นได้จนถึง 200 km/h หลังจากนั้นเกาะได้คับ)
HONDA CIVIC FD1 1.8 - 2.0 (สบายมาก..รับประทาน..ยาวๆ) 

รถกะบะรุ่นใหม่ๆ (..รับประทาน..หมดแบบไม่ต้องตามไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็มาเลยยินดี) 
แต่พวกรุ่นเก่าทำมามากๆ turbo ควายๆก็ต้องลองดู (แต่ยังไม่เคยโดน)
 
รถแต่งก็พอเล่นด้วยได้
3D D15B สบายๆ ,B16 เดิมๆ พอเกาะได้แต่แซงไม่ได้ B18 - 20 ผมโดนสวนยับเลยไม่ต้องตามมัน
A31 BR 20 DET เดิมๆ สบายๆ , J bo มุดๆพอไหว ยาวๆไม่ไหวแล้ว
ae 4age 16v เดิมๆ (สบายมาก..รับประทาน..ยาวๆ)  4age 20v black top 6 speed (มีของนิดหน่อย) วิ่งพอๆกัน

//////////////////////////////////////////////////
ตอบประเด็นน่าคิด
ผมว่าหยิบ 20V 6speed จากเชียงกงมาว่าง แล้วทำพวก ท่อไอเสีย มังจะง่าย ถูกกว่า และใช้เวลาทำสั้นกว่า นะครับ ผมใช้อยู่

อีกอย่างหนึ่งครับเครื่องเดิม+ เกียร์6สปิด+ อีมะเหง็ก ก็วิ่งกันตับแลปแล้วครับ (ซื้อแยกเกียร์+คันเกียร์+ครัช  ประมาณใกล้ๆ20000แล้วครับ  +กล่องอี อีกประมาณ 10000 ครับ)
แล้วซื้อเครื่อง 20Vมาวางเฉพาะเครื่อง ไม่เกิน35000- ค่าวาง6000-10000 ครับ เหนียวกว่าครับ

ส่วนเรื่องคู้ชกที่สามารถเล่นได้
ผมว่าบางตัวเค้าคงไม่ได้อยากอัดกับพี่มั้งครับ ผมเคยอัดกับ AC ตัว2.4และตัว3.0 ต้นไปได้ ครับแต่ปลายมันสวนหมดหมด รอบเราใช้6-7พันรอบครับ ที่ความเร็วเท่ากัน มัน4-5พันครับ
ส่วน Civic นี้พอสวนได้ครับ เครื่องเดิมนะ

สวนกระบะเคยลอง วีโก้ ครับ กินยากแต่ก็พอได้ ครับ ปลายมันใหลครับ
ส่วนใหญ่ที่เคยลอง ต้นเราจะกินครับ พอมันตั้งลำได้โดนหมดครับ

ที่ว่าสวนได้นี้เค้าคงไม่อยากเล่นมากกว่าครับ รถเราเครื่อง 1.6Naทำสุดๆ แล้ว 200 ม้า เสียตงค์ไป ไม่คุ้มครับ อยาง J เนี้ย ถึงมันหนักก็จริง แต่แรงบิดมันก็ดีด้วย ขี้หมูขี้หมากับ95บ้านเรา มันก็200ม้า up ครับ


รถเดิมๆที่เค้าว่าแรงๆกันก็
BMW 1.8 (สบายมากส่วนแบบยาวๆ) 2.3-2.5 (เล่นได้จนถึง 210 km/h หลังจากนั้นเกาะได้คับ)
HONDA ACCORD 2.4 (สบายมาก..หม่ำ..ยาวๆ) 3.0 (เล่นได้จนถึง 200 km/h หลังจากนั้นเกาะได้คับ)
HONDA CIVIC FD1 1.8 - 2.0 (สบายมาก..หม่ำ..ยาวๆ)

รถกะบะรุ่นใหม่ๆ (..หม่ำ..หมดแบบไม่ต้องตามไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็มาเลยยินดี)
แต่พวกรุ่นเก่าทำมามากๆ turbo ควายๆก็ต้องลองดู (แต่ยังไม่เคยโดน)

รถแต่งก็พอเล่นด้วยได้
3D D15B สบายๆ ,B16 เดิมๆ พอเกาะได้แต่แซงไม่ได้ B18 - 20 ผมโดนสวนยับเลยไม่ต้องตามมัน
A31 BR 20 DET เดิมๆ สบายๆ , J bo มุดๆพอไหว ยาวๆไม่ไหวแล้ว
ae 4age 16v เดิมๆ (สบายมาก..หม่ำ..ยาวๆ)  4age 20v black top 6 speed (มีของนิดหน่อย) วิ่งพอๆกัน

***************
มาลองรถผมดูสิคับ เอากล่อง VDO มาด้วยนะจะพาวิ่งดู OK ไหม จะได้มีหลักฐานไงว่าวิ่งได้จริงหรือป่าว ข้อมูลที่ได้และผมเสียเวลาเขียนก็เพื่อประโยชน์ของเพื่อนๆที่คยอยากให้ผมเขียนขึ้นมา ไม่ได้อยากอวดว่ารถผมแรง (เพราะมันไม่ได้แรงอะไรมากมาย) หรือถ้าอยากวิ่งกับผมในสนาม(Circuit)ก็ลองดูได้นะคับ ยินดี หรือจะเอารถที่ผมกล่าวไว้ขั้นต้นมาลองก็ได้คับ ผมยินดีมาถ้าจัดการให้(เอาคนขันเก่งหน่อยมาคับนะ พวกกระโหลกกะลาอย่าเอามามันอันตราย)

อยากลองอยากรู้ผมจัดให้ได้เสมอคับ โทรหาผมได้ 084-360-8339

และอีกอย่างนึกผมไม่ได้บอกว่าการวางเครื่องมันไม่ดีคับ แต่มันไม่แปลกสำหรับผมถ้าทำอะไรให้เหมือนคนอื่นมันก็มาเหมือนกันหมดดิ(ความสร้างสรรมันก็ไม่มี) ผมชอบทำรถที่วิ่งแย่ๆให้สามารถวิ่งได้ดีคับ (นั้นคือการแต่รถในแนวคิดของผมนะ) ไครว่าอะไรก็ทำตามเขา(ผมไม่ชอบเลย) เพราะผมอุส่าศึกษาเรื่องเครื่องยนต์กับช่วงล่างมานานแล้วมีความเข้าใจในระดับนึก ผมก็อยากจะลองดูสิว่ามันจริงหรือป่าว

ส่วนเรื่องงบการทำรถของผมทั้งหมดทั้งคับ มันอาจจะสูงแต่ไม่ได้อะไรมากเท่ากับการว่างเครื่อง แต่ผมกับนายทุน(พ่อ)ผมพอใจว่ามันไปได้วะ ก็จบ บางทีผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าพวกที่ post ๆ กันว่าอย่างโน้นดีอย่างนี้ดีมันรู้จริงแค่ไหน บางกระทูผมอ่านยังขัมๆเลย (ปล่อยไก้ตัวใหญ่ๆเลย)

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ฺBMW E36 Sedan,Compact,Touring,Coupe,Convertible,

BMW E36 Compact
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:

316i
M43 4 cylinder 102 HP 188 km/h 1994 - 1999
316i M44 4 cylinder 105 HP 190 km/h 1999 - present
318ti
M44 4 cylinder 140 HP 209 km/h 1994 - 1999
323ti M52 6 cylinder 170 HP 230 km/h 1997 - present
318tds M41 4 cylinder 90 HP 175 km/h 1995 - present


BMW E36 Sedan
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:

316i M40 4 cylinder 100 HP 191 km/h 1990 - 1993
316i
M43 4 cylinder 102 HP 195 km/h 1993 - 1998
318i M40 4 cylinder 113 HP 198 km/h 1990 - 1993
318i M43 4 cylinder 115 HP 201 km/h 1993 - 1998
318is M44 4 cylinder 140 HP 213 km/h 1996 - 1998
320i M50 6 cylinder 150 HP 214 km/h 1990 - 1998
323i M52 6 cylinder 170 HP 231 km/h 1996 - 1998
325i M50 6 cylinder 192 HP 233 km/h 1990 - 1994
328i M52 6 cylinder 193 HP 236 km/h 1994 - 1998
318tds M41 4 cylinder 90 HP 182 km/h 1994 - 1998
325td M51 6 cylinder 115 HP 198 km/h 1991 - 1998
325tds M51 6 cylinder 143 HP 214 km/h 1993 - 1998


BMW E36 Touring
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:

316i M43 4 cylinder 102 HP 191 km/h 1997 - 1999
318i M43 4 cylinder 115 HP 197 km/h 1995 - 1999
320i M50 6 cylinder 150 HP 212 km/h 1995 - 1999
323i M52 6 cylinder 170 HP 223 km/h 1996 - 1999
328i M50 6 cylinder 193 HP 230 km/h 1995 - 1999
318tds M41 4 cylinder 90 HP 179 km/h 1995 - 1999
325tds M51 6 cylinder 143 HP 206 km/h 1995 - 1999


BMW E36 Coupe
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:

316i M43 4 cylinder 102 HP 193 km/h 1993 - 1999
318is M42 4 cylinder 140 HP 213 km/h 1992 - 1999
320i M52 6 cylinder 150 HP 214 km/h 1992 - 1999
323i M52 6 cylinder 170 HP 227 km/h 1995 - 1999
325i M52 6 cylinder 192 HP 233 km/h 1992 - 1994
328i M52 6 cylinder 193 HP 236 km/h 1994 - 1999


BMW E36 Convertible
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:

318i M43 4 cylinder 115 HP 194 km/h 1994 - 2000
320i
M50 6 cylinder 150 HP 211 km/h 1994 - 2000
325i M50 6 cylinder 192 HP 229 km/u 1993 - 1994
328i M52 6 cylinder 193 HP 230 km/h 1994 - 2000

CR.E36Thailand.com

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

รถยนต์ BMW กับการตั้งชื่อรุ่น ซีรี่ส์ แต่ละประเภท แตกต่างกันอย่างไร และบงบอกอะไรบ้าง ภายใต้ชื่อย่อนั้นๆ ของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู

อย่างที่ทราบกันดี รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู BMW นั้นมีหลากหลาย รุ่น หลายโฉมและสมรรถนะ เพื่อใช้งานหลายแบบ ตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ โดยแยกประเภท ตามรุ่น ชนิดของเครื่องยนต์ ตัวถัง และคุณสมบัติพิเศษ ทั้งหมดนี้ ถูกแปลงเป็น ชื่อย่อหรือรหัส เพื่อบงบอกคุณสมบัติของรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู BMW คันนั้นๆ โดยปกติชื่อย่อบอกรุ่นหรือรหัสของ BMW จะติดอยู่ท้ายรถ บริเวณฝากระโปรงท้าย ด้านขวา ยกตัวอย่างเช่น 525i , 523i SE, 318iA, 730iL , X5, Z4 เป็นต้น และยังมีตัวย่อหรือรหัสอื่นๆอีก

โดยปกติแล้ว หากเป็นรหัสตัวเลขสามตัวหน้า เช่น 318i , 523i , 730iL
-ตัวเลขแรกจะบอก ซีรี่ส์ของรถ BMW Series ซึ่งเป็นตัวถังรถยนต์แบบซีดาน (Sedan) หรือรถยนต์สี่ประตูทั่วไป เช่น BMW Series3 ,ซีรี่ส์5, ซีรี่ส์7 เป็นตัน หรือคือขนาดตัวถังแบบ เล็ก กลาง ใหญ่ ตามลำดับ
-ส่วนตัวเลข 2 ตัว หลัง เช่น 18 , 20 , 23 , 25 ,30 หมายถึงขนาดของเครื่องยนต์ 18 คือ 1800 cc. หรือ 30 ก็คือ 3000 cc. เป็นตัน (แต่บางครั้งตัวเลขอาจไม่ตรงกับขนาดเครืองที่แท้จริง เนื่องจาก BMW มักเพิ่มขนาดเครื่องให้สูงกว่าตัวเลข เช่น BMW Series 318i E46 ก็จะมีขนาดเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร)

หากรถยนต์BMW บางรุ่น ไม่ได้บอกรหัส3ตัวนำ เช่น Z3, Z4, Z8 หรือ M3, M5
-อักษรและตัวเลขจะบอก ประเภทของรถและซีรี่ส์ของรถ ซึ่งแบ่งได้ดังนั้
1.แบบซีรีส์ BMW Series (ซีดานทั่วไป)
2.X Series
3.Z Series
4.M Series
และ คอนเซปต์คาร์ ตัวเลขด้านหลังก็คือซีรีส์ นั้นเอง

เพิ่มเติม ตัวอักษร i(เบนซิน)และd(ดีเซล) เป็นประเทภเครื่องยนต์ ที่มักจะมีตามหลังตัวเลข เช่น BMW 318i หรือ 320d  ดังตัวอย่าง
- 318i คือ รถยนต์4ประตูขนาดเล็ก(ซีรีส์) เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1800 cc.
- 320d คือ BMWซี่รีส์3 เครื่องบนต์ดีเซล 2000 cc.

ส่วนรหัสตัวอักษรที่ตามมาส่วนท้าย จะบอกรายละเอียดอื่นๆของรถยนต์ BMW ดังนี้

S = Sport Model ใช้กับรุ่นสปอร์ท หรือ 2 ประตู เช่น 318is (รุ่นหลังๆจะใช้ C)
SE = Special edition รุ่นพิเศษ ในบ้านเรา เช่น 318iASE เป็นต้น
E = Economy engine มาจากภาษากรีก "eta" ซึ่งมีความหมายว่า "Efficiency" ใช้กับรุ่น 325e และ 528e
T = Touring รุ่นหลังๆ t จะหมายถึงรุ่น touring ที่เป็นตัวถังแบบ Wagon
X = All wheel drive model ใช้กับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในรุ่น E30 ใช้เป็น ix ส่วนในรุ่นใหม่ E46 ใช้เป็น xi
T = Turbocharger engine ถ้าใช้ t ตัวเดียวหมายถึงเครื่องยนต์ดีเซล
ถ้าเป็น td หมายถึง turbodiesel
ถ้าเป็น tds หมายถึง Intercooled turbodiesel
L = Long wheel base model ใช้กับรุ่นฐานล้อยาวในซีรีส์ 7 บางครั้งใช้นำหน้าเช่น L7 ซึ่งนอกจากฐาน ล้อยาวแล้ว ยังเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษด้วย (Luxury)
C or CS = Coupe ใช้กับรุ่น 2 ประตู บางครั้งใช้ร่วมกับตัว S เช่น CS Coupe sport
A = Automatic transmission ใช้กับรุ่นที่เป็น เกียร์ออโตเมติก

หากเทียบซีรีส์กับ รถยนต์เบน Benz ก็จะได้ประมาณนี้
series 3 เทียบเคียง C-Class
series 5 เทียบเคียง E-Class
series 7 เทียบเคียง S-class


(รวม)วิธีเช็คและดูแลรักษา BMW Series รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่น ทุกซีรี่ส์

ข้อแนะนำเบื้องต้นในการดูแลรถยนต์ BMW
-ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้เร็วกว่ากำหนด เช่นที่ 25,000 ก.ม. (สองหมื่นห้าพันกิโลเมตร) ให้ร่นลงมาเหลือประมาณ 18,000-20,000 ก.ม.(ประมาณหนึ่งหมื่นแปดพันถึงสองหมื่นกิโลเมตร)
-น้ำมันเกียร์ควรถ่ายออกแบบ "ฟลัชชิ่ง" เลย  แต่ต้องทำอู่นอก เพราะศูนย์บริการคงไม่ยอมทำให้ เนื่องจากศูนย์ถูกกำหนดตามสเป็คมาจกาต่างประเทศ ว่าน้ำมันเกียร์ lifetime ซึ่งตรงนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เกียร์พัง เพราะประเทศไทยอากาศร้อนจัด รถติดมาก น้ำมันเครื่องและเกียร์จึงเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติหลายเท่า

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปิดตัวอย่างเป็นทางการ BMW 3.0 CSL Hommage : Villa d'Este บีเอ็มดับบลิวยู 3.0 ซีเอสแอล โฮมเมค

BMW 3.0 CSL Hommage
BMW แสดงความทันสมัยในแบบคลาสสิกของรุ่น 3.0 CSL กับการสร้าง one-off ที่ชี้ไปทางรูปแบบการผลิตที่มีน้ำหนักเบาและเป็นไปได้ แนวคิดที่น่าทึ่งกับนวัตกรรมใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ที่โดดเด่นของ BMW 3.0 CSL Hommage

Hommage CSL 3.0 เป็นรถ Hommage ที่สามจาก BMW ในปีที่ผ่านมาต่อไปนี้บนจาก M1 Hommage จากปี 2008 และ 328 Hommage ซึ่งการเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 75 ของ 328 แข่งในปี 2011 เช่นเดียวกับ Hommage 3.0 CSL ทั้งแนวคิด Hommage ก่อนหน้านี้  เปิดตัวในปี 2015 Concorso d'Eleganza Villa d 'Este บนชายฝั่งของทะเลสาบโคโมประเทศอิตาลี มี slathered ไฟฟ้าในสีเขียว Hommage จะแบ่งปันพื้นที่ด้วยการเลือก Bimmers คลาสสิก - บวกบางส่วนของที่ดีที่สุดและแพงที่สุดวินเทจเครื่องจักรยานยนต์ในโลก

รถแนวคิดล่าสุดที่มีขนาดใหญ่รถเก๋งสองประตูที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย M6 มันเป็น 4997mm ยาว 2018mm 1302mm กว้างและสูงที่มีระยะฐานล้อของ 3190mm สำหรับการเปรียบเทียบ M6 เป็น 4898mm ยาว 1899mm 1374mm กว้างและสูงที่มีระยะฐานล้อของ 2851mm

BMW ยังไม่ได้รับการยืนยันรายละเอียดทางเทคนิคของรถอื่นที่ไม่ใช่ความจริงที่ขับเคลื่อนล้อหลังและด้านล่างฝากระโปรงยาว 3.0 ลิตรตรงหกเครื่องยนต์เบนซินร่วมกับ 'e-boost' มอเตอร์ไฟฟ้าที่จะช่วยให้มีการเร่งความเร็ว .

รถแนวคิดที่สร้างขึ้นจากการใช้งานที่กว้างขวางของวัสดุที่มีน้ำหนักเบารวมทั้งพลาสติก carbonfibre เสริมมากซึ่งสามารถมองเห็นได้และวัสดุ BMW อย่างกว้างขวางใช้ใน I และ M รถยนต์ของตน เดิม 3.0 CSL ถูกบาง 200kg เบากว่า 3.0 CS ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่ขอบคุณที่ครอบคลุมการใช้อลูมิเนียมในการก่อสร้าง

ร่างกายพลศาสตร์ของรถแนวคิดใหม่ที่เป็น forbearer  มีซุ้มล้อขนาดใหญ่ที่มีการแกะสลักบานอากาศพลศาสตร์ที่กว้างขวางช่องอากาศทางด้านหลังของรถที่มี โลหะผสม 21in ซุ้มล้อหุ้มยาง 265/35 ในด้านหน้าและ 325/30 ที่ด้านหลัง คุณสมบัติอื่น ๆ ของการออกแบบภายนอกที่โดดเด่นรวมถึงอากาศที่ครอบคลุมและมีปีกหลังคงมีขนาดใหญ่, สปอยเลอร์หลังคา, อุปกรณ์แยกด้านหน้าและด้านข้างขนาดใหญ่หลักสี่

ในรายละเอียดมีพยักหน้าให้หลังคาของเดิม 3.0 CSL มีหลังคาที่ไม่ได้ไหลลงสู่ปลายด้านหลังของรถ
คุณลักษณะที่ทันสมัยมากขึ้นในรูปแบบเลเซอร์และไฟ LED ของ

ภายใน pared ลงและทำเกือบเฉพาะจากพลาสติก carbonfibre เสริมบันทึกไม้บางอย่างสำหรับแผงหน้าปัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง ไม้นี้มีการอ้างอิงถึงการตกแต่งภายในไม้ของเดิม 3.0 CSL ข้อมูลโปรแกรมควบคุมที่สำคัญเช่นความเร็วเครื่องยนต์และการเลือกเกียร์จะปรากฏบนจอแสดงผลบนพวงมาลัย

การออกแบบของ BMW หัวหน้า Karim Habib กล่าวว่า "สำหรับนักออกแบบของ BMW เช่นเรา BMW 3.0 CSL เป็นไอคอนสไตล์ การรวมกันของยีนแข่งและความสง่างามสร้างความงามที่ยังคงมีส่วนร่วมที่จะชนะใจแม้วันนี้

การออกแบบของ BMW Group หัวหน้าเอเดรียนแวน Hooydonk เพิ่ม: "รถ Hommage ของเราไม่เพียง แต่แสดงให้เห็นว่าเรามีความภาคภูมิใจของมรดกทางวัฒนธรรมของเรา แต่ยังวิธีการที่สำคัญที่ผ่านมาสามารถในการกำหนดอนาคต."

ที่กำหนดในอนาคตจะมองเห็นได้ด้วย M4 GTS M4 GTS จะได้รับแรงบันดาลใจจากทั้ง 3.0 CSL Hommage และรถปลอดภัย M4 MotoGP ซึ่งได้รับการออกกำลังกายมากขึ้นรวมทั้งด้านหลังปีกขนาดใหญ่ที่คงที่เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางกล เหล่านี้รวมถึงระบบหัวฉีดน้ำสำหรับการบริโภคเครื่องยนต์ BMW คุณลักษณะที่กล่าวว่ามีความตั้งใจที่จะผลิตเมื่อมันเผยให้เห็นข้างรถปลอดภัย

BMW ยังพูดเป็นนัย ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเดินทางมาถึงใกล้เข้ามาของรูปแบบในเวลาสั้น ๆ โดยมี M4 GTS มีการสั่งซื้อภายใต้ส่วน 4 ชุดของเว็บไซต์ของสหรัฐ

ป้าย GTS ได้รับการใช้เพียงครั้งเดียวก่อนในรุ่นสุดของรุ่นก่อนหน้า M3 ในปี 2010 นี่คือน้ำหนักเบารุ่นปล้นออกจาก M3 ซึ่งมีเพียง 150 ถูกสร้างขึ้นด้วยมือ

อย่างไรก็ตาม BMW ไม่มีแผนจะไปหนึ่งก้าวและพัฒนาออกมาและออกถนนรถ GT3 แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่ของเครื่องหมาย บริษัท มีการสังเกต เมื่อเร็ว ๆ นี้มันเปิดเผยแข่ง M6 GT3 ชั่งน้ำหนัก 500kg บางน้อยกว่ารถถนนที่มันเป็นไปตามที่เพียงภายใต้ 1300kg

BMW 3.0 CSL แนวคิด Hommage: Roundel ไปย้อนยุคที่ Villa d'Este

ครอบคลุมออกมาBMW 3.0 CSL แนวคิด Hommage สีเขียวมะนาวสองประตูกว่าปีกหลังขนาดใหญ่, สปอยเลอร์หลังคาติดเป็นยังสีเขียวมะนาว พลัสจะเคลื่อนขึ้นและโค้งกว่าที่เราสามารถนับ ส่วนใหญ่ของผู้ที่มีสีเขียวมะนาวเป็นอย่างดี เพิ่มในการตกแต่งภายในการแข่งแรงบันดาลใจที่จัดการเพื่อให้มีแนวจากไม้เนื้อแข็งที่อุดมสมบูรณ์บนเส้นประและคุณได้มีแนวคิดที่โดดเด่นมากเชื้อเพลิงโดยบางมรดกประสิทธิภาพร้ายแรง

Hommage CSL 3.0 ได้รับแรงบันดาลใจจากคลาสสิกที่ประสบความสำเร็จ homologation CSL 3.0 - พิเศษและการแข่งรถของคู่ - นำมาใช้ในปี 1972 เช่นเดียวกับรุ่นก่อนเล็กน้อยของชิปแนวคิดใหม่ไปที่มวลด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบาที่ทันสมัย ที่สุดที่มีอยู่ ย้อนกลับไปในยุค 70 ที่จะได้รับอลูมิเนียม ที่นี่ BMW ได้ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ออกจากวัสดุคอมโพสิตสัมผัสที่ใดก็ตามที่มันถูกนำไปใช้

แตกต่างใหญ่ระหว่างเดิม 3.0 CSL และคู่ของแนวคิดที่ทันสมัยเป็นที่รถอดีตถูกสร้างขึ้นจริงขายและวิ่ง แนวคิด Hommage มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นหนึ่งออกและเราต้องการจะประหลาดใจว่ามันจะเคยได้รับแรงผลักดันในสิ่งที่ใกล้ความโกรธ

น้ำหนักและประสิทธิภาพการทำงานนอกจากนี้ยังมีเหลือถึงจินตนาการที่สดใสของเรามาก ดังนั้นเราจะถือว่าเป็นย่อย 3,000 ปอนด์M235i -sized รถเก๋งกับเครื่องยนต์และเกียร์ดึงออกมาจาก M3 ใหม่ กับยางเหนียวมันจะ 0-60 ในสิ่งที่ต้องการ 3.5 วินาที สิ่งที่บอกว่า BMW

คำบนรถคันนี้แนวโน้มการผลิตไม่มี แต่คุณก็สามารถซื้อ Supra ถ้าคุณต้องการที่ปีกด้านหลังขนาดใหญ่.
ภาพถ่ายโดย BMW

เครื่องดับเพลิงในตัวและการแข่งรถแรงบันดาลใจพวงมาลัยเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนของแรงบันดาลใจที่มอเตอร์สปอร์ตของ CLS 3.0.


วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องของ OFFSET ล้อรถ

การหาล้อรถที่ให้ตรง Spac พอดีกับรถ หรือซุ่มล้อ ไม่ล้นออกมามากเกินไปหรือหุบเข้าไปเกินไป จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ OffSet ล้วนๆ  และเป็นเรื่องที่สำหรับคนบางคนที่จะซีเรียลเรื่องoffet นั้นบางคนอาจจะรู้หรือไม่รู้ กำ่อนอื่นเลยต้องรู้ก่อนว่า ออฟเซ็ต คืออะไร

ออฟเซ็ต - Offset หรือ ET ออฟเช็ต คือ ระยะห่างระหว่างหน้าแปลนยึดดุมล้อ (Hub Mounting Surface) ภายในล้อแม็กซ์กับขอบกระทะด้านนอก นับขากจุดกึ่งกลางเป็นจุดตั้งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร

ออฟเซ็ตศูนย์ -Offset Zero คือตำแหน่งยึดดุมล้ออยู่ศูนย์กลางล้อพอดี นึกถึงถ้าเราเอาลเอแม็กซ์กล้าง 8 นิ้ว มาผ่าครึ่งจะวัดได้จุดศูนย์กลางที่ 4 นิ้ว แล้วหน้าแปลนยึดดุมล้อด้านในอยู่ตรงที่ตำแหน่งยึดดุมล้อนั้นอยู่กึ่งกลางพอดี เรียกว่าออฟเซตศูนย์

ออฟเซ็ตบวก -Positive Offset คือตำแหน่งยึดดุมล้อเยื้องออกมาด้านหน้า (ด้านนอกรถหรือด้านหน้าของแม็กซ์) เริ่มจากจุดศูนย์กลางของล้อถ้าหน้าแปลนยึดดุมเริ่มเดินหน้าออกมาถือว่าเป็นออฟเซ็ตบวกทันที่ เช่นเดินหน้าออกจากจุดศูนย์กลางมา1มิลลิเมตร เรียก+1ถ้าเดินหน้าออกมา 10มิลลิเมตรเรียกว่า+10หรือเดินหน้าออกมา38มิลลิเมตรเรียก+38เป็นต้น สังเกตง่ายๆออฟเช็ตยิ่งติดบวกมากลายด้านหน้าของล้อแม็กซ์ก็จะออกมามากหรือแทบออกมาเสมอกับขอบล้อด้านนอกเลย

ออฟเซ็คลบ - Negative Offset  ตรงข้ามกับออฟเซ็ตบวกพวกนี้ตำแหน่งยึดดุมล้อจะถอยเข้าไปด้านในของล้อนับจากจุดศูนย์กลางล้อยิ่งถอยเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งติดลบมาก ล้อแม็กซ์ประเภทนี้สังเกตได้คือลายด้านหน้าของแม็กซ์จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในจากขอบล้อด้านนอกยิ่งลึกมากยิ่งติดลบมากหรือที่เรียกๆกันว่า แม็กซ์ออฟลึก

วิถีการดูล้อรถ ออฟเซ็ต Offset ที่เราใส่ยู่ว่าพอดีหรือไม่นั้น วิธีดูง่ายๆ คือการดูด้วยสายตา มองใกล้ๆซุ้มล้อ ล้อที่ใส่ยางและเติมลมได้ในระดับพอดีจะต้องไม่มีส่วนของยางหรือแม้แต่แก้มยาง แลบเกินออกมานอกซุ้มล้อหรือหุบหายจากซุ้มล้อมากเกินไปหรือใช้ไม้ยาวๆ ทาบกับซุ้มล้อดูในแนวตั้งฉากถ้าออฟเซ็ตบวกมากไปล้อและยางจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ แต่ถ้าออฟเซ็ตบวกน้อยไปล้อและยางก็จะยื่นออกมานอกซุ่มล้อ หรือ วิธีการดูความพอดีสำหรับล้อรถที่ใส่อยู่นั้น เพราะล้อแม็กซ์บบางรุ่นหรือเกือบทุกยี่ห้อจะกำหนดตัวเลข offset มาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นปั๊มเป็นตัวนูน เป็นลักษณะตอกพิมพ์ให้เกิดเป็ฯตัวเลข หรือเป็นสติ๊กเกอร์ แปะไว้ซึ่งกำหนดตัวเลข เช่น offset 42 ก็จะเป็น ET42 บ้าง +42 บ้าง หรือ 42 เลยๆ แล้วแต่ลักษณะของบริษัทผู้ผลิต

หากเกิดไม่มีตัวเลขออฟเซ็ต Offset ! .
วิธีการแก้ปัญหาของล้อรถที่ไม่มีตัวเลขของออฟเซ็ต offset ติดอยู่ที่ล้อ 
หากเป็นล้อที่ยังไม่ใส่ยางถือว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าล้อที่จะวัดเป็นล้อที่ใส่ยางแล้วการถอดยางมาวัดด้านนอกถือว่าจะได้ความถูกต้องแม่นยำกว่า และต้องรู้ขนาดความกว้างของล้อที่ระบุไว้ชัดเจน และการวัดจะใช้วิธีการวัดด้วยอุปกรณ์การวัดง่ายๆ ด้วยการหาไม้หรือวัสดุแข็งๆมาทาบกับล้อ ใช้ตลับเมตรหรือไม้บรรทัดในการวัดและเครื่องคิดเลขอีกตัว ไว้คำนวณนิดหน่อย

ตัวอย่าง
ถ้าล้อที่นำมาทดสอบเป็ฯล้อขนาด 17 นิ้ว ความกว้างที่ระบุไว้เป็นตัวเลขคือ 7.5 นิ้วอยากรู้ว่าค่าออฟเซตมีค่าเท่าไหร่
วิธีวัด
1.ใช้ไม้ หรือวัสดุแข็งๆ ตัดทาบที่หน้าขอบด้านนอกของล้อ ทั้งด้านหน้า และหลัง อย่าให้สัมผัสกับหน้ายาง
2.วัดขนาดความกว้างรวมของล้อ ตั้งแต่ขอบกะทะด้านนอก จนถึงด้านใน มีหน่วยเป็นเซนติเมตร
3.วัดระยะห่างจากหน้าแปลนยึดดุม ด้านใน จนถึงกระทะขอบล้อด้านนอก
4.นำตัวเลขรวมความกว้างทั้งหมด ลบกัน ตัวเลขระหว่างหน้าแปลนยึดดุม มาลบกับระยะขอบล้อของด้านที่จะวัด (เพราะปกติความกว้างของล้อจะไม่นับรวมกับ ความกว้างของขอบกะทะที่ยึดกับยาง ทั้ง 2 ด้าน)

สูตรคำนวณ
-กระทะขนาด 7.5 นิ้ว หรือตามทฤษฏี = 18.8 เซนติเมตร (1นิ้ว= 2.5ซม.) ดังนั้น offset zero ของล้อจะ= 9.4 เซนติเมตรเพราะ Offset zero อยู่ตรงกลางจึงต้องหาร 2 จากความกว้างของล้อที่มีหน่วยเป็ฯ เซนติเมตร
-ขนาดที่วัดได้จริงจากขอบล้อด้านนอกถึงด้านใน = 20 เซนติเมตร
-เพื่อหาขนาดขอบล้อทั้ง 2 ด้าน จะนำระยะวัดจริงลบกับระยะทางทฤษฏี แล้วหารสอง ( 20 - 18.80)/2 = 0.6 เซนติเมตร เป็นค่าระยะขอบกระทะแต่ละด้าน
-วัดระยะจากหน้าแปลนยึดดุมล้อ ถึงขอบกระทะได้ = 14 เซนติเมตร
-คำนวณหาระยะ offset = (ระยะวัดจากหน้าแปลนถึงขอบกระทะ)
-(ระยะ offset zero) (ระยะขอบกระทะ) = 14 - 9.4 - 0.6 = 4 เซนติเมตร ดังนั้น offset ของล้อวงนี้จะออกจากจุด offset zero ไปด้านนอกหรือติดบวก4เซนติเมตรหรอ40มิลลิเมตร จึงเรียกได้ว่า offset+40